วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551

ภาษาอังกฤษ:เท่าที่เป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไป


ในสมัยที่เชคสเปียร์[Shakespears] ยังมีชีวิตอยู่นั้น ในประเทศอังกฤษเอง มีคนที่พูดภาษาอังกฤษกันแค่ประมาณ 5 ล้านกว่าคนเท่านั้น ปัจจุบัน หลังจากผ่านมาได้ราว 400 กว่าปี ปรากฏว่ามีคนพูดภาษาอังกฤษกันทั่วโลกกว่า 700 ล้านคน ในจำนวนนี้ มีประมาณ 300 ล้านคน ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ [Mother tongue] ซึ่งคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แอฟริกาใต้ แคนาดา ไอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์ ยังมีอีกหลายประเทศที่ภาษาอังกฤษมีสถานะพิเศษ นั่นคือใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นทางการ ในประเทศเหล่านี้คือ อินเดีย บาฮามา กานา ไนจีเรีย และฟิลิปปินส์
กล่าวได้ว่า ภาษาอังกฤษ คือภาษาโลกอย่างแท้จริง เป็นภาษาที่ใช้ในด้านการค้าระหว่างประเทศ การทูต และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการไปรษณีย์ หรือคอมพิวเตอร์ ส่วนมากเขียนด้วยภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษ ยังเป็นภาษาที่ใช้สำหรับการควบคุมการจราจรทางอากาศซึ่งเป็นสากลอีกด้วย
พัฒนาการของภาษาอังกฤษ[Development of English]
เมื่อจูเลียส ซีซาร์ [Julius Caesar] บุกเกาะอังกฤษ ในปี 55 ก่อนคริสตกาล หรือราวๆ2058 ปีมาแล้ว เขาได้พบว่า ได้มีชนชาวเซลติค [Celtic population] ได้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งพวกเซลติคนี้ คือบรรพบุรุษของชาวไอริช [Irish] สกอตติช[Scotish] และเวลส์[Welsh] ในปัจจุบัน ต่อมาพวกโรมัน ได้เข้ารุกรานพวกเซลท์(หรือเซลติค) และได้ครอบครองเกาะอังกฤษจากปี ค.ศ. 43-410 หรือเป็นเวลาร่วมสี่ร้อยกว่าปี ภาษาของพวกโรมัน คือภาษาลาติน [Latin] แทบไม่มีผลกระทบต่อภาษาของพวกเซลติคเลย และทั้งสองภาษาคือ ลาติน และเซลติค ก็แทบไม่มีผลกระทบต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้สืบต่อจากภาษานี้ในกาลต่อมา ชื่อของสถานที่ที่เป็นภาษาของพวกโรมันและเซลติค ก็มีหลงเหลืออยู่น้อยมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกดูดกลืนเป็นภาษาอังกฤษไป ยกตัวอย่างอิทธิพลของภาษาลาติน และเซลติคที่ยังพอหลงเหลือให้เห็น เช่น ‘castra’ เป็นคำลาติน หมายถึง “ค่ายพัก” หรือ “การตั้งถิ่นฐาน” ปรากฏในชื่อเมืองของอังกฤษหลายเมืองเช่น Manchester, Dorchester และ Lancaster เป็นต้น ส่วนคำว่า crag หมายถึง “ชัน” หรือ “ขรุขระ” และคำว่า combe ซึ่งหมายถึง “หุบเขา” ทั้งสองนี้เป็นคำเซลติค

บรรพบุรุษที่เป็นต้นกำเนิดภาษาอังกฤษในปัจจุบัน จริงๆนั้น เข้ามาในเกาะอังกฤษราวปี ค.ศ.400 เศษๆ ภายหลังที่พวกโรมันได้จากไปแล้ว ชนเผ่า Germanic สามกลุ่มคือ Angles, Saxon, และ Jutes ได้อพยพมาถึงอังกฤษ และได้ปราบหรือไม่ก็กลืนพวก Celtic เข้าพวก ดังนั้น ชื่อดินแดนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า England ตามชื่อพวก Angles ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุด England แปลว่า “Land of the Angles” หรือ “เทวรัฐ” คือดินแดนของเทวะ ดังนั้นภาษาของพวกที่มารุกราน จึงเรียกว่า English
จากนั้นภาษาอังกฤษ ก็ค่อยๆหยั่งรากมั่นคง ในประเทศอังกฤษ โดยขณะเดียวกันก็ได้ยอมรับเอาอิทธิพลของพวกที่รุกรานที่มาภายหลังอีกหลายพวก ได้แก่พวก สแกนดิเนเวียนส์[Scandinavians] ซึ่งตกประมาณปี ค.ศ. 750 และพวก Norman French ในปี 1066 จริงๆแล้วภาษาอังกฤษ ได้กลายเป็นภาษาที่ดูดซับเอาภาษาอื่นๆไว้ [absorbing language] นั่นเพราะว่า ได้รวบรวม รวมทั้งยืมเอาคำต่างๆจากภาษาและวัฒนธรรมอื่นๆเข้าไว้ในตัวมากจนกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นภาษาที่มีคำมากที่สุดในโลก เกือบ 500,000 คำเลยทีเดียว
ประวัติของภาษาอังกฤษนั้นแบ่งออกเป็นสามยุคคือ อังกฤษยุคเก่า[Old English 450-1100] อังกฤษยุคกลาง[Middle English 1100-1500] และอังกฤษยุคใหม่ [Modern English 1500-ปัจจุบัน]

ภาษาอังกฤษยุคเก่า[Old English]
ภาษาของพวกชนเผ่า Germanic ที่เรียกว่า Old English หรือ Angle-Saxon นั้นถือได้ว่าเป็นรากฐานของภาษาอังกฤษยุคใหม่ มีความเกี่ยวพันกับบรรพบุรุษของพวกที่พูดภาษาเยอรมัน ภาษาดัช และภาษาสแกนดิเนเวียน ในยุคปัจจุบัน ตัวอย่างของภาษาอังกฤษยุคเก่าเก็บรักษาเอาไว้ในต้นฉบับหนังสือหลายเล่มที่มีอายุนับย้อนไปถึงยุค ค.ศ.600 แต่หลักฐานพวกนี้ ก็เป็นเพียงบันทึกข้อเขียนภาษาทางวรรณคดี ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่คนทั่วๆไปพูดกันในยุคนั้น บทกวียุคเก่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นจะได้แก่มหากาพย์ Beowulf ซึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของวีรบุรุษ คือกษัตริย์แห่งเดนมาร์ค [Denmark] ซึ่งได้ทำการต่อสู้กับมังกรและปีศาจชื่อ Grendel จากตัวอย่างบางตอนของภาษาอังกฤษยุคเก่านี้ ต้องทำการแปลอีกทีหนึ่ง ผู้อ่านสมัยปัจจุบัน ถึงจะอ่านออก
ภาษาอังกฤษยุคเก่านั้น แตกต่างกันอย่างลิบลับกับภาษาอังกฤษที่เราใช้ในปัจจุบัน คำนาม และคำคุณศัพท์ เวลาใช้ต้องผันพยัญชนะท้ายคำ[inflection] นั่นก็คือมีเสียงท้ายคำแตกต่างกันนั่นเอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า คำนั้นๆทำหน้าที่อะไรในประโยค ซึ่งเหมือนกับภาษาบาลีและสันสกฤต หรือแม้แต่คำ “the” ซึ่งในยุคนี้เวลาใช้ล้วนคงที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของประโยค แต่ในอังกฤษยุคเก่า the มีรูปแตกต่างกันหลายแบบ ทั้งนี้ก็เพื่อระบุว่า คำที่ใช้กับ the นั้นเป็นเพศชาย เพศหญิง เป็นเอกพจน์ หรือเป็นพหุพจน์ เป็นต้น
พัฒนาการของภาษาอังกฤษยุคเก่านั้น มีเหตุการณ์สำคัญสองอย่างเป็นตัวเสริม ได้แก่ การแผ่ขยายของศาสนาคริสต์ ในประเทศอังกฤษ ระหว่างยุค ค.ศ. 500 และยุค ค.ศ. 600 ภาษาอังกฤษในยุคนั้นได้รับเอาคำภาษาลาติน เข้าไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งภาษาลาตินเอง ก็คือภาษาของคริสตจักร[Church] เช่นคำว่า candle, chalk, dish, master, monk และ psalm กระนั้นก็ตาม ก็ยังมีคำอังกฤษยุคเก่าแท้ๆ หลายคำที่นำมาใช้เพื่ออธิบายแนวคิดทางศาสนาคริสต์เช่น god, heaven และ hell อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ การรุกรานอย่างเป็นระลอกของพวก Scandinavian ในช่วงยุค ค.ศ. 800 และ 900 มีคำเกิดขึ้นหลายคำ เช่น skin, skirt, sky นอกจากนี้ มีคำสรรพนามสำคัญเกิดเพิ่มเข้ามาใหม่ คือ they และ she คำว่า they นั้นมาแทนที่คำเดิมคือ hie ส่วน she มาแทน heo สรรพนามสองคำใหม่นี้ ง่ายกว่า และแยกจากกันอย่างชัดเจนกว่าของเดิมมาก สังเกตดูก็แล้วกัน
he, heo, hie กับ he, she, they

ภาษาอังกฤษยุคกลาง[Middle English]
ในค.ศ. 1600 กษัตริย์ William แห่ง Normandy จากฝรั่งเศสตอนเหนือได้บุกยืดครองเกาะอังกฤษ โดยตีกองทัพอังกฤษแตกที่สนามรบเมือง Hastings หรือที่เรียกกันว่า “ศึกแฮสติงส์” วิลเลี่ยม และพวกได้ปกครองอังกฤษ โดยขณะเดียวกัน ก็ได้นำเอาภาษาของตนเข้ามาใช้ด้วย นั่นก็คือภาษาฝรั่งเศสประจำถิ่นNorman [Norman dialect of French] และก็ได้ใช้ภาษานี้เป็นภาษาประจำราชสำนัก [the language of the royal court] ภาษา Norman French หรือ ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ Anglo-Norman นี้ ได้เป็นภาษาราชการของผู้ปกครองอังกฤษในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 300 ปี แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่อาจเข้ามาแทนที่ภาษาอังกฤษซึ่งคนส่วนมากยังพูดจาสื่อสารกันอยู่โดยมากได้ ในระยะเริ่มแรก อิทธิพลของภาษาอังกฤษยังมีน้อย จำกัดอยู่แค่คำไม่กี่คำ เช่น castle และ prison แต่พอถึงยุค ค.ศ. 1100 ปรากฏมีการนำคำฝรั่งเศสมาใช้ในราชสำนักในอัตราที่มากขึ้น คำ “ยืม” เหล่านี้ ปรากฎใช้กันมากในแถบที่อิทธิพลของฝรั่งเศสมีความแข็งแกร่ง ศัพท์ทางการปกครอง และกฎหมาย เช่น prime, reign, court ศัพท์ทางทหาร เช่น army, soldier, leiutenant, ศัพท์ทางศิลปะ เช่น sculpture, romance, tragedy, ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น surgeon, anatomy
การมีคำฝรั่งเศสเพิ่มเข้ามาในภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้พูดภาษาอังกฤษมีความสามารถแสดง “ความต่าง” ของคำได้ เช่น คำฝรั่งเศสคือ beef, veal, venison, mutton และ pork หมายถึงเนื้อที่อยู่บนโต๊ะแล้ว ส่วนคำอังกฤษคือ cow, calf, deer, sheep, และ pig หมายถึงสัตว์ที่อยู่บนกีบเท้า[hoof]
เมื่ออังกฤษสามารถปลดแอกตนเองเป็นอิสระจาก Normandy ใน ค.ศ. 1204 ภาษา Anglo-Norman ก็ถูกตัดขาด และเริ่มเสื่อมหายไป ภาษาอังกฤษก็กลับมาเป็นภาษาทางการปกครองและวัฒนธรรมตามเดิม และแน่นอนเป็นภาษาพูดของคนทั่วไป[common people] ถึงยุค ค.ศ.1300 มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างดาดดื่นทั้งในราชสำนัก และท้องถิ่นอื่นๆทั่วประเทศ แม้ว่าอิทธิพลด้านคำศัพท์ฝรั่งเศสจะยังคงมีติดอยู่ในภาษาอังกฤษตลอดไปก็ตาม
นอกเหนือไปจากการได้รับคำฝรั่งเศสเข้ามาปนแล้ว ภาษาอังกฤษในยุคนี้ ยังพบกับความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีการผันคำคุณศัพท์เพื่อให้สอดคล้องกับคำนามอีกต่อไป และคำนามก็เหลือแค่เอกพจน์ และพหุพจน์เท่านั้น เช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ภาษาอังกฤษยุคใหม่[Modern English]
ภาษาอังกฤษยุคใหม่นั้น กล่าวกันว่า เริ่มต้นที่ประมาณค.ศ.1500 เป็นต้นมา หลังจากมีการนำระบบการพิมพ์หนังสือเข้าไปเผยแพร่ในประเทศอังกฤษไม่นาน ภาษาอังกฤษยุคใหม่ ในตอนแรกๆนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ภาษาอังกฤษยุคใหม่ต่างจากยุคกลางตรงการออกเสียง ตลอดระยะเวลากว่า 100 ปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในด้านสระ[vowels] นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยุคใหม่ ก็ยังไวยากรณ์ที่แตกต่างด้วย ซึ่งก็คล้ายๆเป็นการสืบต่อแนวโน้มจากยุคกลางที่เน้นไปทางการทำให้ง่ายขึ้นในด้านการผันคำ แม้ว่าในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการมีกฎเกณฑ์ด้าน วากยสัมพันธ์[syntax] และการวางลำดับคำ[word order] ที่สลับซับซ้อนมากขึ้นก็ตาม
การประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ มีส่วนช่วยทำให้เกิดภาษาเขียน “ที่เป็นมาตรฐาน” [standardize written English] นั่นคือการยอมรับการสะกดคำที่สากลมากขึ้น รวมถึงการใช้คำนั้นๆด้วย นอกจากนี้ การพิมพ์ตำราไวยากรณ์ และพจนานุกรมที่เป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ ในยุค ค.ศ.1700 ก็มีส่วนทำให้เกิดภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐานด้วย
กระนั้นก็ตาม ก็ยังใช้เวลากว่า 200 ปีจึงสามารถทำให้การสะกดคำภาษาอังกฤษที่มีอยู่อย่างหลากหลายหายไป จนเหลือเท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ไม่รู้จบ

การเติบโตของภาษาอังกฤษยุคใหม่
ประเทศอังกฤษเริ่มกลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งของโลก ในยุค ค.ศ.1600 โดยการล่าเมืองขึ้นในแถบ แอฟริกา เอเชีย แปซิฟิก และอเมริกาเหนือ เมื่อจักรวรรดิอังกฤษแผ่ขยายไป ภาษาอังกฤษก็แผ่ตามไปด้วย ในทางกลับกัน คำต่างๆที่เป็นภาษาของผู้คนที่อยู่ในประเทศเมืองขึ้นก็ทำให้เกิดคำใหม่ๆเข้ามาในภาษาอังกฤษด้วย เช่นภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน มีหลายคำที่มาจากภาษาของพวกอเมริกันอินเดียน โดยเฉพาะคำที่เป็นชื่อต้นไม้ใบหญ้าของคนพื้นเมือง และชื่อสัตว์ที่พวกเจ้าอาณานิคมอังกฤษไม่คุ้นเคย เช่นคำว่า moose, skunk, squash และ woodchuck เป็นต้น และรวมถึงคำที่เป็นชื่อสถานที่ของชาวอเมริกันอินเดียนทั้งหลายด้วย
เมื่อการใช้ภาษาอังกฤษขยายกว้างออกไป ก็เกิดมีลักษณะเด่นที่หลากหลายตามไปด้วย และแต่ละประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ก็ถึงกับมีมาตรฐานเป็นของตนเอง ยกตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา คำศัพท์ การใช้ และการสะกด แตกต่างจากในประเทศอังกฤษ ชาวอเมริกันจะเรียก lift ว่า elevator, flat ว่า apartment, และ chips ว่า fries ในยุค 1920 ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เกิดความนิยมแพร่หลายในประเทศอังกฤษเพราะภาพยนตร์จาก Hollywood ซึ่งทำให้คนอังกฤษบางคนถึงกับกลุ้มใจอย่างหนักเพราะ กลัวว่าภาษาของตนจะวิบัติ[corrupted] ในยุค1980 เกิดการแพร่สะพัดของสำนวนทักทายแบบออสเตรเลียน คือ G’day ซึ่งมาพร้อมกับภาพยนตร์และโทรทัศน์ ในปัจจุบัน นักปราชญ์ทางภาษาอังกฤษกำลังสนใจพัฒนาการใหม่ๆที่หลากหลายของภาษาอังกฤษในแถบแอฟริกา เอเชีย และ เวสต์ อินดีส [West Indies]
ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมีพัฒนาการส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของคนที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติที่มารวมกันอยู่เป็นพลเมืองของอเมริกา ยกตัวอย่างคำว่า rodeo มาจากภาษาสเปน คำว่า kindergarten มาจากภาษาเยอรมัน pizza มาจากภาษาอิตาเลียน klutz มาจากภาษา Yiddish นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษของคนดำ [Black English]ซึ่งแสดงถึงอิทธิพลจากแอฟริกัน ตะวันตก[West African] ก็มีส่วนทำให้เกิดความใหม่ๆหลายคำ บางคำเราไม่รู้เลยว่ามีที่มาจากไหน เช่นคำว่า Jazz คำหลายคำ เช่น soul มีความเพิ่มเติมจากความหมายเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น soul food = African food เป็นต้น
ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษก็ยังคงพัฒนาและเติบโตต่อไปเช่นกับภาษาที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลาย[living languages] คำเก่าๆบางคำเลิกใช้ แล้วมีคำใหม่ๆเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีที่พัฒนาเร็วมาก ก็สะท้อนออกมาในรูปของภาษา และศัพท์เฉพาะบางคำถึงกับกลายมาเป็นคำธรรมสามัญเป็นแล้วก็มี ตอนนี้ถ้าพูดถึง lasers, software, และ meltdowns มีน้อยคนที่ไม่รู้จัก คำที่มาจารกพวกแสลง [slang] แฟชั่น และกีฬาก็กลายมาเป็นคำใหม่ๆเยอะเหมือนกัน และผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเองก็พัฒนาปรับปรุงภาษาของตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีความพยายามและผลักดันให้เลิกใช้คำที่มีความหมายไปในทางเหยียดเพศ[sexism] โดยเรียกร้องให้มีการใช้คำที่มีความหมายครอบคลุมทั้งเพศชายและหญิงแทน เช่นให้ใช้คำว่า firefighter แทนfireman ขณะที่ภาษาอังกฤษจัดอยู่ในฐานะภาษาที่ถูกยืมก็เป็นภาษาที่ให้ยืมด้วยเช่นกัน ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น ต่างยืมคำภาษาอังกฤษมาใช้กันอย่างเสรี จนครั้งหนึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสถึงกับออกกฎหมายเอาผิดกับการใช้ภาษาอังกฤษปนกับภาษาฝรั่งเศส
แน่นอนว่า ภาษาอังกฤษคงจะยังคงเป็นภาษาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกต่อไปอีกนาน ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีภาษาไหนจะแข่งด้วยได้ อย่างไรก็ดี ไม่มีภาษาไหนที่จะเป็นนิรันดร์ ภาษากรีก ลาติน และฝรั่งเศส ล้วนต่างเคยเป็นภาษาที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดมาแล้ว และดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปทึกทักว่า สภาพเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของภาษาอังกฤษจะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป


1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องรากศัพท์อยู่ มีประโยชน์มากๆเลย ขอบคุณนะคะ